ไม่ต้องลาออกก็รวยได้
เส้นทางธุรกิจของข้าราชการประจำ
"เริ่มธุรกิจเริ่มอย่างไร"
"กลยุทธ์ขายอย่างไรให้ยั่งยืน"
.
เป็นประสบการณ์การเริ่มต้นธุรกิจขายส่งเสื้อผ้ามือสอง เผื่อจุดประกายคิดให้กับพนักงานประจำ ได้ลองมองหาอาชีพเสริมเพิ่มเงินได้ ซึ่งภายภาคหน้าอาจกลายเป็นรายได้ประจำได้
.
เป็นชีวิตข้าราชการ ทำงานกินเงินเดือนประจำ ตอนแรกๆก็เหมือนกับมนุษยเงินเดือนทั่วไป ทำงานกินเงินเดือนไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดว่า อีก10 ปีฉันจะมีเงินเท่าไหร่ เกษียณ จะอยู่ได้มั้ย ไม่ได้คิด
.
จนกระทั่ง วันนึงสาเหตุของการเริ่มหารายได้เพิ่มก็เกิดมา "น้องตุลย" พี่คลอดน้องตุลย วันที 14 ตุลาคม 2551 น้องออกมาได้ 7 วัน ไข้ขึ้นสูง พาส่งเข้าโรงพยาบาลเอกชน ตอนตี 3 เช้าหมอบอกติดเชื้อในกระแสเลือด ค่าใช้จ่ายแค่คืนเดียว 9000 ตอนนั้น ทั้งครอบครัวเงินเดือนไม่ถึง 3 หมื่น นั่นแปลว่า เงินทั้งเดือนใช้ 3 วันก็หมด เบื้องต้นต้องให้ยาฆ่าเชี้อ 21 วัน บวกลบคูณหารแล้ว ตัดสินใจเอาลูกออกจากโรงพยาบาลเอกชน ไปโรงพยาบาลรัฐบาล ผลคือลูกต้องผ่าตัดตอนอายุ 4 เดือน ด้วยค่าใช้จ่าย โรงพยาบอลของรัฐหกหลัก
คืออยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้วเพราะถ้าคืนนั้น ไม่พาลูกเข้าเอกชน วิเคราะห์ไม่เร็ว เราอาจไม่มีวันนี้
โอกาสข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเกิดเหตุแบบนั้นอีก แล้วจำเป็นต้องใช้เงินมากขึ้นจะทำอย่างไร
นี่คือที่มาของการเริ่มหารายได้เสริมครั้งแรกของพี่มด
.
ทีนี้ก็เริ่มหาของขาย พี่เคยร้อยพวกหินมงคล กับคริสตัล ขายเมื่อ 10ปีที่แล้ว แต่ช่วงนั้น กระแสไม่นิยมเท่าไหร่ ท่องเว็บไปเจอร้านขายเสื้อผ้าเด็กแบบงานเกินออเดอร์ส่งออก เจอปุ๊ป โทรสั่งปั๊ป น้องที่ขายบอกพี่มาดู มาเลือกถุงเองเลย ไม่เป็นไรน้า จัดมาเลย รอบนั้น จัดมาทั้ง เอี้ยมยีนส์ เดรส เสื้อกันหนาว เด็ก กางเกงยีนส์ หมดไปหลายหมื่น เอามาขายตลาดนัด นั่งไปเถอะ วันนึงขายได้เท่าค่าที่ ค่ากิน สุดท้ายก็กองไว้ที่บ้าน อย่าถามถึงกำไร ถึงกับน็อคเรยเชียวแหละ (ตัวนี้คนอื่นอาจจะทำแล้วรุ่งนะค่ะ แต่ของพี่อาจยังไม่ตรงจริตกัน)
.
ไม่เป็นไร เริ่มใหม่ หาใหม่ มันต้องมีอะไรซักอย่างที่ขายได้น่า
ปกติพี่ท่องเว็บ เกี่ยวกับแม่ลูก เพื่อดูทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับลูกอยู่แล้ว ตอนนั้นเค้ามีเปิดท้ายขายของด้วย พี่ก็เข้าไปส่อง เพื่อดูว่าอะไรขายดี ปรากฎว่า เท่าที่ลองสังเกตร้านขายผ้าเด็กมือสองจากญี่ปุ่น จะเวิร์คมากตอนนั้น มีร้านดังๆ อยู่ 2-3 ร้าน ก็ตามดูเค้าอยู่ซักพัก ตัวนี้แหละน่าจะขายได้
สุดท้าย ตัดสินใจลอง
.
เริ่มครั้งแรกด้วยเงินลงทุนหลักพัน
(เพราะทุนก้อนใหญ่หมดไปกับงานเกินออเดอร์แล้ว)
ด้วยการซื้อเหมาหลังจากแม่ค้าเค้าขายรอบแรกแล้ว มาลองขายเพราะยังไม่รู้ ว่าจะไปซื้อจากแหล่งไหน ขายมาได้ 4-5 รอบ ก็วิเคราะห์ดูว่า ร้านเราไม่ตูมตาม เนื่องจากเสื้อผ้าตัวสวยๆ ที่เป็นตัวเด่นๆไม่มี
.
ทำไงเราจะมีหัวผ้าสวยๆ ตัวเด่นๆ ก็ท่องเว็บไปเรื่อย ไปเจอ เค้ารับคัดจากทางใต้ ตัวละ 50 สั่งเลย 200 ตัวๆละ 50 บาท
ปรากฏว่าเงินทุนที่พอมีพองอกเงินนี่หมดเลยนะ เพราะได้ผ้าที่ขายปลีก ตัวละ 50 นั่นแหละมา
สรุป ชีวิตน็อคไปอีกเป็นครั้งที่สอง
.
ก็ยังไม่เข็ด ไปท่องเว็บต่อ (หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมไม่ไปโรงเกลือ จะบอกว่าพี่ไปไหนไม่เป็นค่ะ และไม่ออกนอกเส้นทางจากที่ตัวเองเดินทางไปกลับทุกวัน ดังนั้นเส้นทางที่จะหาของขายได้จึงเป็นอินเตอร์เน็ต) จนไปเจอร้านขายส่งยกกระสอบ 100 กก.
มีคนทักท้วงเยอะ จะไหวเหรอ เปิดไม่ไหวหรอก กระสอบใหญ่มากเลยนะ เสื้อ 1000ตัว คละสภาพ สกปรก เหนื่อย ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะทำได้ยังไง
ใจบอกไม่เป็นไร ไหวไม่ไหวขอลอง ถ้าลองแล้วไม่ไหว ก็ค่อยหาทางใหม่ สรุปว่า กระสอบแรกที่เราสั่งมาเป็นกระสอบผ้ารวมบางเด็ก แฮงโก
hango 012 ปรากฎว่า เป็นกระสอบที่สวยที่สุดในโลก ป่านนี้ยังหากระสอบสวยแบบนั้นไม่เจออีกเลย
.
เป็นกระสอบ พลิกชีวิต เพราะเป็นความเชื่อส่วนตัวว่า ถ้าจับอะไรครั้งแรกแล้วมันเวิร์ค เป็นพลุ ทะลุสุดๆ นั่นแปลว่า
เป็นทางของเราแล้ว หลังจากนั้น ก็ ขายปลีกเรื่อยมา พอขายปลีกได้ซักพัก งานราชการกระหน่ำมาก ต้องรับผิดชอบเยอะ
ไม่มีเวลาวัดไซด์ ถ่ายรูป ตัดแต่งภาพ
จากปกติที่เคยเข้าตอบ เช้า กลางวัน เย็น ดึก เริ่มเหลือมือดึกมือเดียว
จากที่เคยลงช็อปทุกวันจันทร์ เริ่มเว้น อาทิตย์
เปลี่ยนมาเป็นแบบนัดช็อป
สุดท้ายนัดแล้วเลื่อน เพราะทำภาพไม่ทัน
สถานการณ์เป็นแบบนี้ เราก็มามองว่า ไม่ได้แระ ต้องปรับปรุงให้เข้ากับข้อจำกัดของตัวเอง
ต้องไม่กินเวลาของงานหลวง และต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า
(อันนี้มาคิดได้ทีหลังว่าถ้าเราเลือก วิธีแก้ปัญหา ด้วยการเบียดบังเวลาหลวงป่านนี้คงยังขายปลีกอยู่)
.
เลยตัดสินใจเปลี่ยนมาขายส่ง เป็นเซ็ต ไม่ต้องตอบเยอะ ไม่ต้องวัดไซด์
ขายเซ็ตละ 50 - 100 ตัว
หลังๆ ลูกค้าต้องการประมาณเยอะมากขึ้น ก็เปิดให้บริการ คัดเป็นตัวๆ ครั้งละ 200 - 250 ตัว
โดยเปิด เฉพาะเสาร์อาทิตย์ ให้คัดที่บ้านในซอยเอกชัย 83/1 นั่นแหละ ไม่ได้ปรับปรุงบ้าน ให้ดูดีอะไร
ลูกค้ามาคัดก็เอาเปลือกกระสอบ ปู ให้ลูกค้าคัดตามใต้ต้นไม้ ลูกค้าส่วนใหญ่น่ารักมาก ไม่บ่น ไม่ว่า อะไรเราเลย
ช่วยกันดี้ดี ช่วยกลิ้งกระสอบ ช่วยตัดกระสอบ ช่วยเอาใส่ถุง เพราะตอนนั้นขายอยู่คนเดียวยังไม่จ้างพนักงาน
.
หลังๆลูกค้าบอกหนูอยากทำขายส่งแบบพี่ทำยังไงค่ะ
เอ้า....งั้นพี่ขายกระสอบให้หนูเอาไปบริหารเอง ก็เพิ่มรูปแบบการขายยกกระสอบด้วย
.
ในช่วงของการขายยกกระสอบ ก็ไม่ใช่จะราบรื่น ตอนเริ่มต้นใหม่ๆ ส่งสินค้าทางไปรษณีย์
ค่าส่งครั้งละ 600-700 บาทต่อกระสอบ 100 กก. แทบจะไม่เหลืออะไรเลย
ประกอบกับ เราทำงานประจำขายอยู่คนเดียว ไม่มีรถส่งของ ไม่มีพนักงานส่งของ ไม่มีเวลาส่งของ
ก็ต้องหาทางแก้ไขหลายอย่าง คุยกับคนนู้น คนนี้ ขอร้องเค้าบ้าง จนทุกอย่างลงตัว
.
ตอนเริ่มแรกขายแต่เสื้อผ้าเด็ก จนได้ฉายาว่าเจ้าแม่เสื้อผ้าเด็กกันเลยทีเดียว
แต่ว่าลูกค้าบางราย ขายทั้งเด็ก ทั้งสตรี บอกพี่เอาเสื้อ แซก แฟชั่น มาขายด้วย
ไม่อยากขายเล้ยยยย พี่มดไม่เก่งแฟชั่น บอกตรง พี่มดเป็นคนเชยมากๆ แต่งตัวอย่างราบเรียบ
แต่สุดท้ายทนกระแสความต้องการของลูกค้า และตลาดไม่ไหว ก็ต้องเพิ่มประเภทสินค้า
โดยเอาพวกเสื้อ แซกแฟชั่นสตรี มาขายด้วย
.
เมื่อปี2556 ที่น้ำท่วมใหญ่ กทม. พี่มดก็โดน ไปประมาณ 4แสน
ก่อนหน้านี้พี่มดก่ออิฐกั้น รอบโกดังไว้แล้ว แต่ปรากฎว่า น้ำทะลุมาจากพื้น กับผนังโกดัง พอเห็นปุ๊ป พี่มดทำใจเลย
กระสอบโดนน้ำขายทิ้งกันลูกละ 1000 จากทุน 5000-10000บาท
แต่ไม่หมดตัว ยังมีกระสอบที่พี่มดขนทัน 60 กว่ากระสอบ
ก็เริ่มต้นกันไหม่
.
มาถึงจังหวะนึง กระสอบเสื้อผ้ามือสอง เริ่มไม่เสถียร ลูกค้าหมดความไว้วางใจในการเปิดกระสอบ
จึงหันมาคัดผ้ากันมากขึ้น ถึงแม้ว่า ต้นทุนต่อตัวจะสูงกว่า แต่ก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการเปิดกระสอบเอง
ด้วยเหตุนี้ พี่มดปรับปรุงร้านครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 9 เดือน 9 โดย ตัดสินใจเช่าโกดังที่ติดกับบ้านขนาด 1000 ตรม.
จ้างพนักงานมาเพิ่ม ให้พนักงานคัดแยกราคา เอาผ้าขึ้นราวให้ลูกค้าเลือกตามรูปแบบสไตล์ ความต้องการ ของลูกค้าแต่ละท่าน
โดยที่ไม่ได้มีการคัดแยกแบรนด์ออก ทุกตัวที่อยู่ในกระสอบ ส่งขึ้นราวผ้าทั้งหมด แยกราคาตามคุณภาพของผ้าแต่ละตัว
ซึ่งวิธีการนี้ค่อนข้างตอบสนอง ความต้องการของลูกค้า ตรงจุดแล้ว ณ ปัจจุบัน พี่มดยังขายลักษณะนี้อยู่
.
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน พี่ทำตลาดส่วนใหญ่บนอินเตอร์เน็ต หรือไม่ก็ลูกค้ามาเพราะการบอกต่อ ในเรื่องคุณภาพ ราคา
และความมีน้ำใจของพี่เอง หลังๆ พอจ้างพนักงาน ในส่วนเรื่องน้ำใจอาจตกไปบ้าง เพราะพนักงานจะตรงไปตรงมาซักนี๊ดนึง
และพี่เองหลังๆ บริหารอยู่หลังร้านซะมากกว่า ไม่ค่อยได้มีโอกาสติดต่อกับลูกค้า
.
สรุปส่งท้ายเป็นการสรุปบทเรียน
.
ทำไมพี่เริ่มต้น และมาอยู่ตรงจุดนี้ได้
.
พี่คิด และ ลงมือทำ
เริ่มจากเล็กจนมีประสบการณ์มากพอจึงค่อยๆขยายไปเรื่อยๆ
วิเคราะห์และปรับปรุงธุรกิจตามข้อจำกัดของสถานการณ์และตามความต้องการของลูกค้าเสมอ
เมื่อไม่สำเร็จพี่ไม่ท้อ ยังคงหาทางเดินอื่นๆต่อไป
เมื่อมีปัญหา พี่หาทางจัดการกับปัญหา
สิ่งนึงที่ทำให้พี่อยู่มาได้นานขนาดนี้ นั่นคือ ความซื่อสัตย์กับลูกค้า
การค้าขายของพี่ไม่ได้ขายอยู่บนพื้นฐานของกำไร แต่ขายอยู่บนความไว้เนื้อเชื่อใจกัน
.
ขอให้ประสบการณ์ของพี่เป็นประโยชน์กับน้องๆ บ้างนะค่ะ
.
"ขอพลังจงอยู่กับทุกคนค่ะ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น